รีวิวหนัง Luther

รีวิวหนัง Luther The Fallen Sun เป็นหนังตำรวจที่มีประสบการณ์มากมายในการไล่ล่าคนร้ายที่โหดเหี้ยม ตัวเอกของเรื่องคือ จอห์น ลูเธอร์ ซึ่งเป็นตัวละครชื่อเรื่อง และนี่ไม่ใช่ตัวละครใหม่ในโลกของภาพยนตร์ เพราะตัวละคร Luthor ที่แสดงโดย Idris Elba เคยอยู่ในซีรีส์ฮิต Luther ซีรีส์อังกฤษที่สร้างโดย BBC ซีรีส์สตูดิโอประสบความสำเร็จอย่างมาก ลากยาวมาถึง 5 ซีซั่นตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2019 เรตติ้งดีด้วย IMDB 8.4 และ Rottentomatoes ที่ 88% แต่อาจด้วยชื่อเสียงของ Idris Elba ที่กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูด บวกกับความอิ่มตัวของบทบาทของจอห์น ลูเธอร์ ทำให้เอลบาต้องหยุดซีรีส์ลูเธอร์ไว้ที่ 5 ซีซั่น BBC เองน่าจะเสียใจกับซีรีส์นี้ ดังนั้นรีบูต Luther อีกครั้งในปี 2021 ร่วมกับทีมงาน แสดงชุดใหม่แต่ชุดไม่สำเร็จ หยุดอยู่แค่ซีซั่นแรก

ทีมผู้สร้างจึงต้องหันไปหา Idris Elba อีกครั้งเพื่อกลับมารับบท John Luthor ซึ่ง Elba เสนอเงื่อนไขว่าเขาไม่สนใจที่จะกลับมารับบท John Luthor ในเวอร์ชั่นทีวี ซีรีส์อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นรูปแบบหนัง ถ้ามีบทดีๆ เขาก็สนใจ ซึ่งไปได้ดีกับนีล ครอส เจ้าของรายการและผู้เขียนบทซีรีส์ลูเธอร์ ว่าเขาได้เขียนบทฉบับภาพยนตร์ไว้แล้ว และนั่นคือที่มาของ Luther: The Fallen Sun

ผู้เขียนเองไม่เคยดูตอนของลูเธอร์เวอร์ชั่นละครทีวีมาก่อน แต่ดูแล้วจะเห็นว่าผู้สร้างทำการบ้านในเรื่องนี้มาอย่างดี ภาพยนตร์สามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วไป ไม่เจาะจงแฟนเก่าของ Luther เพราะเนื้อหาของหนังแทบไม่กล่าวถึงอดีตของ John Luther เลย อาจจะมีแค่ Martin Shenk ที่แสดงโดย Dermot Crowley นี่เป็นคนเดียวที่เป็นเจ้านายเก่าและเพื่อนที่ดีที่สุดของ Luthor ที่ถูกเรียกตัวกลับมาทำคดีนี้

เปิดตัวอย่างโหด รีวิวหนัง Luther

รีวิวหนัง Luther ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวด้วยการแนะนำของ David Robey ในฐานะตัวร้ายของเรื่องซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยม เปิดเรื่องมาแบบนี้เหมือนประกาศว่านี่ไม่ใช่หนังนักสืบที่สืบหาตัวคนร้าย แต่จะสืบหาแรงจูงใจและจุดประสงค์ของคนร้ายที่หนังเล่าตรงจุดนี้ได้อย่างน่าสนใจ Andy Serkis (แอนดี้ เซอร์คิส) เจ้าพ่อโมชั่นแคปเจอร์ตลอดกาล สวมบท David Robey ได้อย่างร้ายกาจ แสดงความเจ็บป่วยทางสีหน้าและแววตาได้อย่างชัดเจน ฆ่าคนด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างสะใจ ทำให้โรบี้เป็นตัวร้ายของเรื่องที่น่ากลัวเพราะเขามีทั้งมันสมองและความโหดในตัวคนเดียว และเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หนังเดินหน้าแต่ละนาทีได้อย่างน่าติดตาม โดยที่หนังไม่ต้องพึ่งฉากแอคชั่นขนาดมหึมาที่ต้องลงทุนถล่มทลายแต่อย่างใด และไม่มีฉากโหดๆ ตะโกน เลือดสาดให้เห็นอีกด้วย

ฉากใหญ่ของภาพยนตร์ มันคือฉากที่อุดมสมบูรณ์ของคดีฆาตกรรมที่น่าสยดสยองของ David Robey ใน Piccadilly Circle ย่านช้อปปิ้งใจกลางกรุงลอนดอน ฉากนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจของทีมงานในฐานะภาพยนตร์เรื่องเดียวที่ถ่ายทำใน Piccadilly Circle นานที่สุด หลายคืนติดต่อกัน ในแง่ของการเล่าเรื่อง บทของนีล ครอสทำได้ดีมาก ภาพยนตร์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการแผ่วเบา เล่าเรื่องคู่ขนานอย่างลื่นไหล ด้านหนึ่งเล่าเรื่องราวของด้านโรเบย์ ซึ่งค่อยๆ เผยตัวตนให้ผู้ชมเห็น เป็นใคร มาจากอะไร แรงจูงใจของเขาคืออะไร? และแผนการของเขาคืออะไร เป็นหนังที่เน้นตัวร้ายค่อนข้างเยอะ ที่มาของปูอย่างละเอียด

ในอีกด้านหนึ่ง มันบอกเล่าเรื่องราวของจอห์น ลูเธอร์ ผู้สืบหาตัวตนของโรบีย์โดยใช้เบาะแสจากเหยื่อแต่ละคน จุดเชื่อมต่อกันอย่างไร? Robey ใช้หลักการอะไรในการเลือกเหยื่อของเขา? ซึ่งหนังค่อยๆเผยปริศนาทีละตอนจนคลี่คลายในองก์สุดท้ายซึ่งนำเราไปสู่ไคลแมกซ์ของเรื่องและเป็นฉากที่น่าผิดหวัง โดยหนังค่อยๆ สร้างตัวตนของ David Roby ขึ้นมาจนเป็นตัวร้ายที่น่ากลัวในตอนต้น เพราะตลอดทั้งเรื่อง Roby ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปหลายสิบคน แถมยังเลือดเย็นพอที่จะเอาศพไปแขวนคอให้ญาติดู จนเรากังวลแทนลูเธอร์เลยว่าจะจัดการกับเสื้อคลุมยังไงดี

ซีรีส์ที่ปรับมาเป็นหนัง

ภาคต่อของซีรีส์อังกฤษที่มีมา 5 ซีซั่นแต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในประเทศของเรา Idris Elba คือนักแสดงนำที่เป็นที่จดจำสำหรับบทบาทนี้ แต่ก็ไม่มีปัญหาในการดูเพราะเรื่องราวเริ่มต้นใหม่และเข้าใจความสัมพันธ์กับตัวละครเก่าได้ เรื่องราวมีพล็อตที่เหนือชั้นโดยที่ตัวร้ายเป็นฆาตกรต่อเนื่องระดับโลกที่มีชีวิต แต่ไม่มีฉากแอ็คชั่นมากนัก การสืบสวนมุ่งเน้นไปที่ไหวพริบของตัวเอกของ Luthor ซึ่งเป็นผู้ไขปริศนาในการติดตามคนร้ายในทันที ทำให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างรวดเร็วราวกับจรวด ซึ่งทำให้ดูสนุกขึ้นมาทันทีแต่กลับละเลยการสร้างเหตุผลจูงใจต่างๆ นานา อย่างผู้ร้ายกับเหยื่อก็แทบไม่มีรายละเอียดให้เห็นเลยว่าตกลงจะยอมเชื่อฟังผู้ร้ายได้อย่างไร เนื้อเรื่องเหมือนเขียนให้ตัวเอกแสดงฝีมือก็พอ โดยทิ้งเหตุผลหลายๆ อย่าง ไปไกลจนดูไม่สมจริงเอามากๆ จบแล้ว เตรียมสร้างแฟรนไชส์ยาวๆ ของ Netflix ต่อไป

ลูเทอร์เดิมเป็นซีรีส์โทรทัศน์แนวสืบสวนอาชญากรรมของอังกฤษ 5 ซีซั่น นำแสดงโดยไอดริส เอลบาในบทสารวัตรจอห์น ลูเธอร์ กำกับและเขียนบทโดยนีล ครอส เวอร์ชันภาพยนตร์ยังผลิตโดยทีมเดียวกัน แค่เปลี่ยนผู้กำกับเป็น Jamie Payne ตัวซีรีส์เองยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา แต่คะแนนนิยมในอังกฤษถือว่าดีมาก เป็นผลให้นักแสดง Idris Elba เป็นที่จดจำสำหรับบทบาทนี้ ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 ซีซั่น แต่ซีซั่นมักจะเป็นเพียงตอนสั้นๆ 2-4 ตอนจบ ยกเว้นซีซั่นแรกที่มี 6 ตอน แบบที่เคยทำมาก่อน เรียกสั้น ๆ ว่า การดัดแปลงแบบยุบรวม ทำให้มันเป็นหนังมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ชมที่ไม่เคยดูมาก่อน เพราะเนื้อเรื่องมีความสัมพันธ์กับตัวละครเก่าให้เห็นอย่างเข้าใจ แต่เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มี Backlog จากเรื่องในชุดที่แล้ว

เรื่องราวเริ่มต้นที่ Luthor อยู่ในคุกขณะสืบสวนคดีคนหาย ตัวร้ายในเรื่องวางแผนจับเขาเข้าคุกเพื่อไม่ให้สืบได้ แต่เรื่องอยู่ที่ Luther Cook ออกมาตามล่าคนร้าย ในขณะที่ตัวร้ายเองสร้างสถานการณ์การฆาตกรรมครั้งใหญ่ให้โลกได้รับชมแบบสดๆ ลูเธอร์ต้องตามล่าตัวฆาตกรในขณะที่หลบหนีการจับกุมของตำรวจที่ไล่ล่าคนร้ายรายนี้มาด้วยกันรีวิวหนัง Luther

เล่าเร็วทันใจ แต่ข้ามรายละเอียดเหตุผลไปเยอะ

ด้วยพล็อตเรื่องสุดเว่อร์วังแต่มาทำแบบสตรีมมิ่งที่ต้องมีงบจำกัด ฉากแอคชั่น ไม่ดราม่าเกินจริงตามพล็อตเรื่อง แต่เน้นที่บทและเรื่องราวที่เล่าแบบฉับไวโดยใช้ความเก่งกาจของ Luthor ที่แกะรอยสั้นๆ ตามจับผู้ร้ายทันที ก่อนที่เรื่องจะรีบเปิดโปงว่าใครคือคนร้ายและต้องการอะไร ซึ่งการเล่าเรื่องอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ดีและตรงใจผู้ฟัง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่ามันเร็วเกินไป เนื้อเรื่องน่าจะละเอียดกว่านี้ เหมาะจะทำเป็นซีรีส์มากกว่า เพราะรายละเอียดเยอะแทบจะข้ามมาแบบตัวร้ายเลย แรงจูงใจแรกคืออะไร? ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงทำได้อย่างงดงาม? และหลายอย่างก็ยังไม่สมเหตุสมผลว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เหยื่อแบล็กเมล์ไม่มีรายละเอียดใดๆ และเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงความสามารถในการสืบสวนนอกกรอบของลูเธอร์ จนดูเหมือนว่าเขียนบทขึ้นมาแบบลวก ๆ แค่ใช้ความฟุ้งเฟ้อของผู้ร้ายที่จัดการถ่ายทอดสดเพื่อฆ่าเหยื่อเพื่อขาย

เรื่องราวพยายามทำให้ตัวเอกสับสนกับหัวหน้าตำรวจคนใหม่ที่ไม่รู้จักลูเธอร์ และมองว่าเขาเป็นตำรวจเลวก่อนที่จะถูกผู้ร้ายบีบจนต้องทำงานร่วมกัน และมันก็แสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า Luthor เองก็เป็นตำรวจที่ดีมีนิสัยชอบทำอะไรหยาบๆ ดิบๆ ซึ่งเหมือนเป็นการแนะนำ Luthor ทางอ้อมให้ผู้ชมที่ไม่เคยรู้จัก เห็นมัน

เรื่องราวจบลงในลักษณะที่มีภาคต่อ ซึ่งจากการดู Netflix ก็น่าจะตกลงให้เรื่องนี้กลายเป็นแฟรนไชส์ประจำที่นี่ ซึ่งโดยรวมๆ แล้วถือว่าเป็นแนวสืบสวนที่สนุก และมีเสน่ห์จากนักแสดงที่เหมาะกับบทนี้ที่สุด (แต่ความจริง Netflix ก็น่าจะจัดการทั้งซีรีส์แล้วเหมือนกันนะ)รีวิวหนัง Luther

บทความที่เกี่ยวข้อง