รีวิวซีรีส์ Shadow and Bone Season 2 หลังจากรอมา 2 ปี ในที่สุด ‘Shadow and Bone’ อีกหนึ่งซีรีส์แนวแฟนตาซีก็เริ่มต้นการสตรีมแล้ว ซึ่งซีรีส์กำลังตามติดชนิดหายใจรดต้นคอแชมป์เก่าอย่าง ‘เดอะ กลอรี่’ ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในสุดสัปดาห์นี้อย่างสมศักดิ์ศรี คราวนี้ การผจญภัยของอลีนา สตาร์คอฟ ผู้อัญเชิญแห่งดวงอาทิตย์ และทุกความพยายามของเธอในการโค่นล้มแม่ทัพจอมมารคิริแกนจะคุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่ Beartai Buzz Season Series ภาพรวมมาแล้วจ้า
เรื่องราวต่อจากซีซั่นที่แล้ว และครั้งนี้ Alina Starkov (Jessie Mei Li) ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของ Rafka ต้องลี้ภัยไปพร้อมกับ Maljen Oretsev (Archie Renaux) ทหารและคนรักของเขาที่กำลังหลบหนีและรวมพลเพื่อต่อสู้กับ General Kyregan ( Ben Barnes เบ็น บาร์นส์) ผู้พยายามแผ่ขยายอำนาจของ Shadow Realm เพื่อครองโลก
Alina และ Kirigan ได้พบกับ Nikolai Lantsov (Patrick Gibson) โจรสลัดที่อาสาพาพวกเขากลับไปที่ Kafka เพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของ Shadow Fever กลุ่มโครว์ กลุ่มกบฏที่ช่วยอลีนากำลังวางแผนที่จะกำจัดเพกกา โรลลินส์ (ดีน เลนน็อกซ์ เคลลี่) มาเฟียที่เคยสร้างแผลเป็นในวัยเด็กของแคซ (แสดงโดยดีน เลนน็อกซ์ เคลลี่) โดย Freddy Carter) และ Inaj Ghafa (อมิตา ซูมาน) นักสู้มีดบินที่มีอดีตตามหลอกหลอนเธอ
ปมเรื่องอัดแน่น รีวิวซีรีส์ Shadow and Bone Season 2
รีวิวซีรีส์ Shadow and Bone Season 2 แคซและแก๊งของเขาได้รับความช่วยเหลือจากนีน่า เซลนิก (แดเนียล กัลลิแกน) ผู้บงการพลังจิตที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยแมทเธียส (คาลาฮา) N Skogman, Calahan Skogman) คนรักของเธอออกมาจากคุก Black Gates ในขณะเดียวกัน มือปืนอันดับต้น ๆ ของกลุ่ม คิต ยัง (แสดงโดย เจสเปอร์ ฟาเฮย์) เริ่มสัมผัสประสบการณ์ความรักครั้งใหม่กับ วีแลน เฮ็นดริกส์ (แสดงโดย แจ็ค วูล์ฟ) Jack Wolfe) นักเคมีผู้คิดค้นระเบิดให้กับ Kaz ในภารกิจนี้
สำหรับซีซัน 2 เอริก ไฮเซอร์เรอร์กลับมาสู่ฉากแอ็กชันที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยความมั่นใจเต็มที่ทั้งในรูปแบบแอ็คชั่นแฟนตาซีและฉากแอ็คชั่น เพื่อให้ฉากให้ตัวละครที่เคยเป็นสีสันให้กับซีซั่นแรกได้มีโอกาสโดดเด่น ซึ่งต้อง ยอมรับว่าเรื่องราวในซีซั่นนี้มีความหลากหลายและเข้มข้นไม่แพ้กัน
แต่นั่นต้องแลกมาด้วยต้นทุนของโครงเรื่องหลักที่ช้าเกินไปเล็กน้อย ซึ่งผู้ที่รอคอยการประลองเวทมนต์ระหว่างอลีนาและนายพลคิริแกนอาจเบ้หน้าก่อนถึงฉากสำคัญ แต่ก็เข้าใจได้เพราะระหว่างทาง ก่อนที่ Alina จะไปถึง Kirigan ได้ เธอต้องผ่านการแต่งงานทางการเมืองทั้งสองครั้งเพื่อรวบรวมกองกำลัง และยังมีเรื่องราวความรักสั้นๆ ระหว่างเธอกับ Mal Yen และนำไปสู่โครงเรื่อง รักสามเส้ากับ Nikolai Lantsov
โชคดีที่เฮซูเรอร์ไม่รั้งรอการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของอลีนา เพราะเมื่อซีรีส์ดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว เนื้อเรื่องหลักดำเนินไปอย่างรวดเร็ว มีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้เรื่องราวสนุกขึ้น และแน่นอนว่างานวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่อลังการก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ส่วนเรื่องงานเทคนิค ต้องบอกว่า ‘Shadow and Bone’ ซีซั่นแรกสร้างมาตรฐานไว้สูงอยู่แล้ว และผลงานในฤดูกาลที่สองเห็นได้ชัดว่าไฮเซอร์เองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนางานด้านภาพให้มีมาตรฐานที่เชื่อว่าจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้ และขอบอกว่าใครที่สมัครแพ็กเกจ 4K Ultra HD ของ Netflix จะต้องฟินสุดๆ เพราะภาพซีรีส์มีให้เห็นถึงประสิทธิภาพของทีวีทั้งจอตั้งแต่สีสันของเสื้อผ้า การแสดงผล ไปจนถึง วิดีโอ วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ต่าง ๆ ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
สกิลเว่อร์วังกว่าเดิม
ใครที่ชอบแนวแฟนตาซีภาคนี้จัดเต็มกว่าเดิมจากพลังของทุกตัวละครที่เพิ่มขึ้น มีตัวละครใหม่ที่น่าสนใจมากมาย แต่ภาคนี้ก็มีข้อเสียมากกว่าในฉากเลิฟซีนแบบน้ำเน่า (แต่มีเหตุผลที่ต้องเน้นภาคนี้ เพราะมันเชื่อมกับปมในตอนท้ายเรื่อง) หลักที่ทั้งสองเรื่องจะมาบรรจบกันในภายหลัง (แก๊งค์อีกาจะสนุกและเท่กว่าแนวแฟนตาซีของนางเอก) กับตัวละครเยอะมาก แถมแบ่งซอยเป็นคู่อีกต่างหาก ทำให้เล่าเรื่องสลับกันบ่อยจนรำคาญใจในการดูบ้าง แต่ทั้งหมดก็ทำออกมาได้กระชับ ฉับไว ไม่ยืดเยื้อ เน้นเฉพาะเนื้อๆ มีแค่ 7 ตอน เรื่องราวของแดนเงา จบซีซั่นนี้ ก่อนจะค่อยๆ นำไปสู่บทใหม่ที่อลังการกว่าเดิมในตอนจบของ EP 8 ฉีกทุกเรื่องราวที่ผ่านมาได้อย่างน่าสนใจ!
Alina Starkov และ Mal Oretsev ต้องรวบรวมพันธมิตรใหม่ที่ทรงพลังและออกเดินทางข้ามทวีปเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตในตำนานสองตัวที่จะช่วยเพิ่มพลังให้กับเธอ ดังนั้นจะมีโอกาสต่อสู้กับนายพลคิริแกน สำหรับสถานการณ์ใน Ketterdam การปล้นที่มีความเสี่ยงได้ส่ง Crowes เพื่อสร้างพันธมิตรใหม่กับ Solar Summoner ในตำนาน ไม่บ่อยนักที่ซีรีส์แนวแฟนตาซีของ Netflix จะสามารถสร้างภาคต่อโดยที่ยังรักษางบประมาณไว้ได้ และหลายๆ อย่างสามารถดีขึ้นได้โดยไม่เริ่มยุ่งเหยิง ถึงเรื่องนี้จะมีนิยายรองรับก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างถล่มทลายเป็นการรวมเอาเรื่องราวจากนวนิยายมากกว่า 1 เรื่องมารวมกันในภาคเดียว แถมการที่ตัวเอกจากนิยายต่างๆมารวมกันในเรื่องเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่สิ่งนี้สามารถย้อนกลับได้ และทำได้ดีในภาคนี้เนื้อเรื่องยังแบ่งเป็นหลายๆ แนว ก่อนจะมาต่อกันแบบเดียวกับภาคแรก หลักๆ จะมีกลุ่มนางเอกที่ออกเดินทางตามหาเพาเวอร์แอมป์ มังกรน้ำและวิหคเพลิงไล่ตามกวางในภาคแรก เพื่อจัดการทำลายดินแดนของ Shadow King ซึ่งเป็นปมของเรื่องทั้งหมด ส่วนอีกกลุ่มคือ The Crow แก๊งโจรที่ในนิยายเป็นตัวเอกแยกออกมา แต่ในซีรีส์จะผูกกันเป็นเส้นเรื่องต่างหาก เป็นเรื่องราวการแก้แค้นของมาเฟียที่ครองเมืองในอดีต พร้อมกับก่อตั้งทีมที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากมาย
ทั้งสองเรื่องนี้ดูแวบแรกจะรู้สึกเหมือนไปคนละทาง เพราะกลุ่มนางเอกเป็นเรื่องแฟนตาซีล้วนๆ. มีการพบกับโจรสลัดที่ช่วยพาเขาไปพบกับสัตว์วิเศษที่นางเอกตามหา ซึ่งเรื่องราวไม่ยืดเยื้อแต่อย่างใด เพราะเพียง EP2 เท่านั้นที่จะจบเรื่องราวของมังกรน้ำก่อนจะไปต่อที่ Fire Bird ซึ่งเป็นความลับสำคัญของเรื่องและเป็นกุญแจที่ผูกเรื่องราวไปสู่ความรักของนางเอกที่บท ในภาคนี้กับมาลเน้นฉากรัก ฉากจูบ เยอะทุกตอน หลากสไตล์จนไม่รู้จะใส่ไปทำไมขนาดนั้น แต่ทั้งหมดนี่ทำให้เรื่องขมวดปมสุดท้ายที่ความรักของนางเอกกับมาล ตัดสินชะตากรรมของโลกนี้ กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับนายพลคิริแกนที่ทิ้งไว้เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นรักสามเส้า (นายพลคิริแกนในภาคนี้ยังไม่ใช่ตัวร้ายทั้งหมด ยังมีส่วนดี ๆ เหมือนภาคแรก) ซึ่งบทสรุปของเรื่องราวของ Shadow Feathers Land จะจบลงในซีซั่นนี้รีวิวซีรีส์ Shadow and Bone Season 2
เต็มไปด้วยฉากเท่ๆ
สำหรับ Crow’s Way มันเป็นการรวมทีมแฟนตาซีที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งดูฉีกแนวจากบทนางเอก แต่ทำสนุกกว่าเยอะ ตัวละครแต่ละตัวเท่ มีเงื่อนงำมากมายที่ทำให้เรื่องราวตึงเครียดและน่าติดตาม นอกจากนี้ยังเสริมด้วยเรื่องราวความรักของสมาชิกในทีม เช่นเดียวกับ Nina และ Kaz ที่เป็นหัวหน้าทีมขาเป๋ ซึ่งดูอึดอัดแต่น่าเห็นใจ แต่สิ่งที่โดดเด่นจริงๆ คือ Jesper นักแม่นปืนที่ขโมยซีนของเขาในภาคแรกไปจนหมด มาภาคนี้ยิ่งเด่น พร้อมความลับของการเกิดและความสามารถพิเศษของเขาที่เพิ่มเข้ามาให้เราได้รู้ ซึ่งทำให้ตัวละครนี้ทั้งฉลาดและเท่มากยิ่งขึ้น จนเชื่อว่า Netflix วางแผนสร้างภาคแยกทีมนี้ทำได้แน่นอน และยังมีตัวละครเก่าจากภาคแรกอย่าง Bomb Maker ที่เข้ามาร่วมทีมอย่างจริงจังและยังเป็นตัวละครที่ช่วยเปลี่ยนเกมหลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นแนวเกย์และ Jasper ที่ Netflix ชอบทำ แต่อย่าเกลียดกันเลย ออกมาอย่างเป็นที่ยอมรับว่าช่วยทำให้เรื่องราวของ Jasper มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น (สองคนนี้กลายเป็นคู่หูตลอดทั้งเรื่อง)
ความจริงแล้วยังมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Nie cute และอีกเผ่าหนึ่งที่อยู่ในคุก แต่เนื้อเรื่องในภาคนี้เหมือนผู้สร้างตั้งใจทำมาแค่นั้น เพราะไม่ได้เกี่ยวพันกับเส้นเรื่องหลักเลย และยังปล่อยให้คาราคาซังเหมือนสองเรื่องหลักที่สุดท้ายมาบรรจบกัน แต่โครงเรื่องนี้เป็นเอกเทศโดยสิ้นเชิง แต่ออกมาสั้นๆ ใช้เวลาไม่มาก เลยไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรรีวิวซีรีส์ Shadow and Bone Season 2
ในส่วนของฉากแฟนตาซีนั้นภาคนี้จัดเต็มกว่าภาคที่แล้วมาก ตั้งแต่นางเอกที่มีสกิลต่อสู้ด้วยพลังแสงที่เพิ่มขึ้น พลังใหม่ของนายพลคิริแกนก็สร้างเงาอมตะในฐานะผู้คุ้มกันที่ถูกส่งไปตามล่าใครก็ตาม กับลูกน้องนายพลที่แต่ละคนจะได้รับบัฟพลังกันทั้งทีม ทำให้ฉากน้ำแข็ง ลม ไฟ มีท่าใหม่ๆ ที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวละครโจรสลัดที่มีพลังในการต่อสู้ด้วยพลังรวมของ Grisha และเรื่องราวยังนำไปสู่ตระกูล Chu Han ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของนางเอกซึ่งแท้จริงแล้วเป็นคนจีน จากนั้นตัวละครในตำนานตัวใหม่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกับระดับทักษะที่เหนือกว่านายพลคิริแกน ซึ่งคงจะนำไปใช้ในบทต่อๆ ไปเช่นกัน
เรื่องราวจบลงที่เรื่องราวของ Shadow Feathers Land ซึ่งรวมถึงนายพล Kigan ในตอนต้นของ EP8 ก่อนที่จะปล่อยให้เรื่องราวที่เหลือเกือบหนึ่งชั่วโมงจบลงอย่างมีความสุข ซึ่งก็ดูเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่จุด Surprise คือส่วนนี้ครับ เพราะนี่คือการปูทางไปสู่ภาคใหม่ที่อลังการกว่าเดิม ชนิดที่ว่าเงาอาถรรพ์ที่เกินแล้วก็ยังไม่เท่า แถมยังฉีกแนว พระเอกนางเอกในตอนท้ายแบบคาดไม่ถึง กล้ามากๆ ที่นำเรื่องแบบนี้มา เรียกว่าแทบจะรอไม่ไหว คุณต้องหานิยายอ่านแทน